วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตะแบกสีชมพู

เป็นต้นไม้ที่อยู่ในบริเวณที่ทำงาน 

ถ่ายไม่ชัดเท่าไหร่ เพราะว่าลมแรง แต่อยากลงนะ สีชมพูสวยดี เป็นต้นเดียวของบริเวณเลย นอกนั้นเป็นสีม่วงอ่อน




ลงอะไรเพิ่มซะหน่อย ไม่งั้นบล็อกจะสั้นเกินไป


ต้นไม้ประจำจังหวัด

สระบุรี

ชื่อพันธุ์ไม้

ตะแบก

ชื่อสามัญ

ชื่อวิทยาศาสตร์

Lagerstroemia floribunda Jack

วงศ์

LYTHRACEAE

ชื่ออื่น

กระแบก (สงขลา), ตราแบกปรี้ (เขมร), ตะแบกไข่ (ราชบุรี, ตราด), ตะแบกนา ตะแบก (ภาคกลาง, นครราชสีมา), บางอตะมะกอ (มลายู-ยะลา, ปัตตานี), บางอยะมู (มลายู-นราธิวาส), เปื๋อยนา (ลำปาง), เปื๋อยหางค่าง (แพร่)

ลักษณะทั่วไป

เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบสูง 15–30 เมตร เปลือกเรียบสีเทาอมขาว แตกล่อนเป็นหลุมตื้น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน แผ่นใบรูปขอบขนานแกมรูปหอก ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบสอบ ดอกสีม่วงอมชมพู ออกรวมกันเป็นช่อตามปลายกิ่ง ออกดอกช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ผลรูปรี เมล็ดมีปีก

ขยายพันธุ์

เพาะเมล็ด

สภาพที่เหมาะสม

ดินร่วนซุย ไม้กลางแจ้ง ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง

ถิ่นกำเนิด

ป่าเบญจพรรณชื้น ป่าดงดิบ ป่าน้ำท่วมตามท้องนา

ที่มา : พรรณไม้ดอทคอม


ยังมีต้นไม้ที่เป็นตระกูลเดียวกันอีก

อินทนิล เสลา ตะแบก
          เมื่อลมร้อนเริ่มโชยจะสังเกตเห็นว่าต้นไม้บางชนิดที่ปลูกตามถนนหนทาง สวนสาธารณะ สถานที่ทำการบางแห่งในเมืองผลิใบพร้อมกับช่อดอกขนาดใหญ่ สีม่วงสด ม่วงอมชมพู หรือชมพู เด่นสะดุดตา ต้นไม้เหล่านี้ มีทั้ง ตะแบก, เสลา, อินทนิลน้ำ และอินทนิลบก ซึ่งดูผิวเผินมีลักษณะคล้ายคลึงกัน จึงทำให้เกิดความสับสนว่า ต้นใดเป็น ตะแบก เสลา อินทนิล
          พรรณไม้จำพวก ตะแบก, เสลา, อินทนิล เป็นไม้ในสกุลเดียวกัน คือ Lagerstroemia  วงศ์ Lythraceae ชนิดที่เป็นพรรณไม้พื้นเมืองของไทย นำมาปลูกประดับเรียงลำดับตามความนิยม ได้แก่ อินทนิลน้ำ, เสลา, ตะแบก และอินทนิลบก ตามถนนในกรุงเทพมหานคร มักจะปรากฏพรรณไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งดังกล่าวปลูกแทรกอยู่เสมอ เช่น สองฟากถนนเพชรบุรี มีอินทนิลน้ำ, เสลา และตะแบก ปลูกกันประปรายในเมืองต่าง ๆ ทางภาคเหนือและภาคอีสาน พรรณไม้ทั้ง ๔ ชนิด มีลักษณะเด่นแตกต่างกัน พอสังเกตได้ดังนี้
          อินทนิลน้ำ  [Lagerstroemia speciosa  (Linn.) Pers.] เปลือกลำต้นสีเทาหรือน้ำตาลอ่อน ค่อนข้างเรียบ อาจจะตกสะเก็ดเป็นแผ่นบาง ๆ บ้างเล็กน้อย ใบเกลี้ยงปลายใบเรียวแหลม ผลิใบอ่อนเต็มต้นพร้อมช่อดอก สังเกตได้ง่ายที่ตำแหน่งช่อดอกเป็นพุ่มทรงเจดีย์ชูตั้งขึ้นเหนือเรือนยอดโดยรอบขนาดของดอกบานกว้าง ๕-๘ เซนติเมตร ออกชิดกันเป็นกลุ่ม สีม่วงสด ม่วงอมชมพูจนถึงชมพู และสีจะซีดจางลงเล็กน้อยเมื่อดอกโรย ผลมีผิวขรุขระ สีคล้ายเนื้อไม้ ออกดอกช่วงฤดูร้อน (มีนาคม-พฤษภาคม)
          อินทนิลบก  (L. macrocarpa  Wall. ex Kurz) ลักษณะคล้ายอินทนิลน้ำมาก แต่ใบ ดอก และผลมีขนาดใหญ่กว่า ใบป้อมและกว้างกว่าใบอินทนิลน้ำ ปลายใบมนกว้างหรือแหลมเป็นติ่งสั้น ๆ ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ช่อดอกไม่ชูตั้งขึ้นเหนือเรือนยอด ขนาดของดอกบานกว้าง ๑๐-๑๓ เซนติเมตร แต่ละดอกจะชิดกันเป็นกลุ่ม ดอกสีม่วงอมชมพู และสีจะจางซีดลงเป็นสีขาวอมชมพู ออกดอกช่วงฤดูร้อน มีชื่ออื่น ๆ ว่า กาเสลา, จ้อล่อ, จะล่อ
          เสลา (L. loudonii  Teysm. et Binn.) เปลือกลำต้นสีน้ำตาลดำหรือสีคล้ำ แตกเป็นร่องตื้น ๆ ตามยาว ปลายกิ่งย้อยลู่ลงสู่พื้น ใบมีขนปกคลุมประปราย ช่อดอกออกตามกิ่ง ตามง่ามใบและปลายกิ่ง แต่ช่อไม่ชูตั้งขึ้นเมื่อดอกในช่อบานจะชิดกัน ดอกสีชมพูอมม่วง ออกดอกช่วงฤดูร้อน ผลผิวเรียบเป็นมันสีน้ำตาลไหม้ มีชื่ออื่น ๆ ว่า เสลาใบใหญ่, อินทรชิต
          ตะแบก (L. floribunda  Jack) เปลือกลำต้นสีเทา เรียบ ลื่น เป็นมัน มักมีรอยแผลเป็นหลุมตื้น คล้ายเปลือกต้นฝรั่ง ใบอ่อนมีขนปกคลุม ใบแก่เกลี้ยง ช่อดอกออกตามปลายกิ่งโค้งชูเหนือเรือนยอด มีดอกจำนวนมาก ดอกขนาดเล็ก บานเต็มที่กว้าง ๔-๕ เซนติเมตร ดอกในช่อเรียงกันห่าง ๆ ทำให้ช่อดอกโปร่ง ดอกสีม่วงอมชมพู และสีจะจางซีดลงเกือบเป็นสีขาวเมื่อดอกโรย ผลผิวเรียบเป็นมันสีน้ำตาลเข้ม มีขนปกคลุมบาง ๆ ที่ส่วนปลาย ออกดอกในช่วงฤดูฝน (มิถุนายน-กันยายน)
ผู้เขียน : ดร.ธวัชชัย  สันติสุข ราชบัณฑิต ประเภทวิทยาศาสตร์ชีวภาพ  สาขาวิชาพฤษศาสตร์
ที่มา : จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน  ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑๒, ธันวาคม ๒๕๓๒

วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2558

วัดมังกรกมลาวาส เยาวราช สำเพ็ง

วัดมังกรกมลาวาส เยาวราช สำเพ็ง



4 มีนาคม 2558

ไปไหว้ปีชงที่วัดเล่งเน่ยยี่ หรือวัดมังกรกมลาวาสมาค่ะ คนเยอะมากๆ เพราะเป็นวันพระใหญ่ด้วยมั้ง (วันมาฆบูชา) บางคนก็ดูซินแสมา ต้องมาไหว้วันนี้

แพะทองคำตรงทางเข้าวัด



วัสดุที่ใช้ไว้พระ ทั้งชุดนี่ 100 บาทค่ะ

ความหนาแน่นของคน คน คน และก็คน 





เดินเที่ยวเยาวราชก็ต้องมีอาหารซะหน่อย

กระเพาะปลาคาเธย์ อยู่ซอยระหว่างถนนเจริญกรุงกับถนนเยาราช ทางที่จะไปวัดเล่งเน่ยยี่ ชามพิเศษ 50 บาท ก็คือกระเพาะปลาค่ะ 55

บะหมี่จับกัง 35 บาท ค่อนข้างมันไปหน่อย แต่ก็โอเคนะ อิ่มดี


ต่อด้วยเดินสำเพ็ง คนเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก จบวันเหนื่อยเพียงเท่านี้


วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558

วัดพระธาตุดอยสุเทพ ถนนคนเดินท่าแพ พระธาตุดอยคำ






อยากไปกราบสักการะมานานมากกก เนื่องจากเป็นพระธาตุประจำปีเกิด (มะแม) แต่ก็ไม่สบโอกาส ไม่มีเพื่อนไป (ไม่มีตังไป 55)

คราวนี้มีโอกาสสมใจ ได้ไปซักที


ขึ้นบันไดไปนะคะ ลงภาพที่ถ่ายลงด้านล่าง จะได้ไม่ต้องเบลอหน้าคน ส่วนเพื่อนที่ไปด้วย นางขึ้นลิฟต์ค่ะ 5555

306 ขั้น

ใกล้ถึงแล้ว เบลอภาพคน เลยเบลอมันทั้งรูปเลย


ลงประวัติของพระธาตุสักหน่อย 

วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวง ชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่บนยอดดอยสุเทพ เป็นหนึ่งในวัดที่มีความสำคัญมากที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่ ก่อสร้างตามแบบศิลปะล้านนา มีเจดีย์ทรงเชียงแสน ฐานสูงย่อมุมระฆังทรงแปดเหลี่ยมปิดด้วยทองจังโก 2 ชั้น ลานเจดีย์เป็นจุดชมทิวทัศน์เมืองเชียงใหม่ ทางขึ้นเป็นบันไดนาคเจ็ดเศียรก่อปูน

วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1929 ในสมัยพญากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งอาณาจักรล้านนา ราชวงศ์มังราย พระองค์ทรงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุองค์ใหญ่ ที่ได้ทรงเก็บไว้สักการบูชาส่วนพระองค์ถึง 13 ปี มาบรรจุไว้ที่นี่ ด้วยการทรงอธิษฐานเสี่ยงช้างมงคลเพื่อเสี่ยงทายสถานที่ประดิษฐาน พอช้างมงคลเดินมาถึงยอดดอยสุเทพ มันก็ร้องสามครั้ง พร้อมกับทำประทักษิณสามรอบ แล้วล้มลง พระองค์จึงโปรดเกล้าฯให้ขุดดินลึก 8 ศอก กว้าง 6 วา 3 ศอก หาแท่นหินใหญ่ 6 แท่น มาวางเป็นรูปหีบใหญ่ในหลุม แล้วอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุลงประดิษฐานไว้ จากนั้นถมด้วยหิน แล้วก่อพระเจดีย์สูง 5 วา ครอบบนนั้น ด้วยเหตุนี้จึงห้ามพุทธศาสนิกชนที่ไปนมัสการสวมรองเท้าใน บริเวณพระธาตุ และมิให้สตรีเข้าไปบริเวณนั้น ในปี พ.ศ. 2081 สมัยพระเมืองเกษเกล้า กษัตริย์องค์ที่ 12 ได้โปรดฯให้เสริมพระเจดีย์ให้สูงกว่าเดิม เป็นกว้าง 6 วา สูง 11 ศอก พร้อมทั้งให้ช่างนำทองคำทำเป็นรูปดอกบัวทองใส่บนยอดเจดีย์ และต่อมาเจ้าท้าวทรายคำ ราชโอรสได้ทรงให้ตีทองคำเป็นแผ่นติดที่พระบรมธาตุ
ในปี พ.ศ. 2100 พระมหาญาณมงคลโพธิ์ วัดอโศการาม เมืองลำพูนได้สร้างบันไดนาคหลวงทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้ประชาชนขึ้นไปสักการะได้สะดวกขึ้น และกระทั่งถึงสมัยครูบาศรีวิชัย ท่านได้สร้างถนนขึ้นไป โดยถนนที่สร้างนี้มีความยาวถึง 11.53 กิโลเมตร  (ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร) 


ที่จริงบริเวณวัดยังมีให้ชมและสักการะอีก แต่ด้วยเวลาจำกัด (คือเย็นมากแล้ว) และเพลียร่างด้วย ก็เลยกลับกันก่อน ขากลับลงลิฟท์ค่ะ เพื่อนอีกคนนางขอแลก เนื่องจากนางอยากลงบันไดบ้าง ไม่ได้ถ่ายลิฟท์มา เพราะลืม เลยได้ถ่ายแต่รางลิฟท์ (ที่จริงเค้าเรียกว่ารถรางรึเปล่า แต่ดิชั้นว่าลักษณะเหมือนลิฟท์ที่ลงแบบเอียง)




มาต่อถนนคนเดินท่าแพนิดหน่อยค่ะ เป็นถนนคนเดินวันอาทิตย์

อยู่บริเวณประตูเมืองท่าแพต่อไปยังถนนราชดำเนิน เป็นถนนคนเดินที่ดังและใหญ่ที่สุดมีวันอาทิตย์ตอนเย็นเปิด เฉพาะ วันอาทิตย์ เวลาประมาณ 17.00 - 22.00 น. เป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าขนาดใหญ่ มีสินค้าให้เลือกสรร มากมายหลากหลายประเภท ทั้งสินค้าทางวัฒนธรรม เช่น สินค้าพื้นเมือง จำพวกเครื่องประดับตกแต่ง เสื้อผ้า ของที่ระลึก กระเป๋า ผ้าพันคอ โคมไฟ ฯลฯ หรือจะเป็นสินค้าแฟชั่นก็มีให้เห็นอยู่โดยทั่วไป รวมทั้งของกิน เช่น ขนมจีนน้ำเงี้ยว/น้ำยา ของ ทานเล่น โรตี ฯลฯ หากมาเยือนในช่วงอากาศหนาว ๆ เดินเที่ยวกาดกลางคืน ถนนคนเดินเชียงใหม่ก็เพลิดเพลินไปอีก แบบหนึ่ง ซึ่งที่นี่เป็นถนนคนเดินที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่และได้รับ ความสนใจอย่างมากจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ (ที่มา : http://www.paiduaykan.com/76_province/north/chiangmai/walkingstreet.html)



บรรยากาศถนนคนเดิน รูปบนซ้ายคือไข่ป่าม (ไข่นึ่งอันนี้เป็นไส้ไข่มดแดง) บนขวาเป็นแผงลอยขายอาหารซึ่งจะอยู่ในบริเวณวัดตามถนนคนเดิน รูปกลางเป็นสินค้างานฝีมือ ที่เห็นคือชามไม้มะม่วง  รูปล่างซ้ายเป็นกับดักความฝันหรือ dream catcher  รูปขวาล่างเป็นบรรยากาศร้านขายของ 


และสุดท้ายของทริปเชียงใหม่ทริปนี้ "วัดพระธาตุดอยคำ" ซึ่งเพื่อนนางนึงขอมาว่าอยากไปให้ได้ อ่านประวัติกันก่อนค่ะ


วัดพระธาตุดอยคำ เป็นวัดที่มีความสำคัญในจังหวัดเชียงใหม่ อายุเก่าแก่กว่า 1,300 ปี ตั้งอยู่บริเวณดอยคำ ด้านหลังอุทยานหลวงราชพฤกษ์ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 10 กิโลเมตร วัดพระธาตุดอยคำปัจจุบันมี พระครูสุนทรเจติยารักษ์ (ครูบาพิณ) เป็นเจ้าอาวาส โดยไม่มีพระลูกวัด
พระเจ้าทันใจ แห่งวัดพระธาตุดอยคำ ซึ่งสร้างในรัชสมัยพญากือนา กษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา ปัจจุบันมีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ มีประชาชนจำนวนมากได้ไปบนบานและประสบความสำเร็จตามที่ขอพร โดยการแก้บนจะแก้บนด้วยพวงดอกมะลิ โดยในแต่ละวัน จะมีประชาชนขึ้นไปบนบานมากกว่าร้อยคน โดยเฉพาะในวันหยุดนักขัตฤกษ์ จะมีประชาชนที่ไปบนบานมากกว่าพันคน (ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/วัดพระธาตุดอยคำ)



จบทริปเชียงใหม่ไปอย่างสุขสันต์ ส่วนตัวชอบนะคะ แต่ถ้าไปอีกก็คงไม่ไปช่วงเทศกาล ตอนที่ไป(เดือนกุมภาพันธ์) ก็ไม่ถือว่าเป็นเทศกาลเท่าไหร่ นักท่องเที่ยวก็ไม่ได้เยอะมาก หรือเพราะเค้าไปเที่ยวตามม่อน ดอย กันรึเปล่าก็ไม่รู้นะ


จบซักทีจะได้เขียนเรื่องอื่นที่ค้างๆ ไว้ได้ละ 


12 มีนาคม 2558

(ไปมาเดือนกว่าละ เพิ่งลงหมด)








วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558

พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์


ลงจากดอยปุยก็มาต่อที่นี่ ภูพิงค์ 


น่าจะเป็นตำหนักหนึ่ง แต่ไม่ได้เข้าไปชมใกล้ๆ ค่ะ













สวนดอกกุหลาบงามมากกกกกกกก นี่เป็นตัวอย่าง







เดินๆๆๆๆๆ ดอกไม้สวยงามมาก คนจัดสวนช่างสร้างสรรค์นัก 




เดินมากๆ ชักหมดแรง แต่ยังต้องไปต่อ ด้วยการเดินขึ้นเนินเขาและบันได (จะตายแว้วววว)


บลูซันเวีย ระหว่างทางที่ขึ้นบันไดไป

ถึงแล้ว อ่างเก็บน้ำ ขึ้นไปถึงแล้วหายเหนื่อยเลยค่ะ สบายมาก ชอบมากกกกกกกกกกกกก


มีเสียงดนตรีประกอบน้ำพุด้วยค่ะ เพลงพระราชนิพนธ์



เชิญชวนแวะเที่ยวกันค่ะ สวยงามสมกับเป็นพระตำหนักเมืองเหนือ ค่าเข้าชมแค่ 20 บาทเอง (เด็ก 10 บาท)